Pages

    Friday, November 28, 2014

    อะไรทำร้ายพอร์ตการลงทุนของคุณ?

    อคติในการลงทุนและผลลัพธ์

    อคติ ก็คือความลำเอียง ดังนั้น อคติในการลงทุนก็คือ "ความลำเอียงในการลงทุน" และเจ้าอคตินี่มันก็จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนของนักลงทุน โดยทำให้การตัดสินใจในการลงทุนเป็นแบบไม่ตรงไปตรงมา เพราะว่า "ฉันรู้สึกแบบนี้ และฉันคิดว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้" สุดท้ายผลจากการตัดสินใจต่างๆเหล่านั้น ก็จะย้อนกลับมาที่พอร์ตการลงทุนของเราเอง ซึ่ง ผลกระทบที่ว่านี้ มักจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดีซะเป็นส่วนใหญ่ คุณว่าจริงมั้ย?
    ทีนี้เราลองมาดูว่า อคติในการลงทุนที่ว่านี้มันมีอยู่กี่แบบ และลองเช็คตัวคุณเองว่า คุณมีอคติแบบไหนอยู่บ้าง

    1. Loss Aversion คือ ความเกลียดชังการสูญเสีย นั่นคือ การที่เราต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความสูญเสีย และแสวงหากำไร ในการศึกษาบางอย่างชี้ให้เห็นว่า การสูญเสียนั้นมีพลังเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับการทำกำไร ผลของมันก็คือ เมื่อเรากลัวที่จะสูญเสีย เราก็จะให้ความสำคัญกับการขาดทุนมากมากกว่าการหากำไร (ก็ฉันไม่อยากเสียเงินนี้ไป) ตัวอย่างเช่น ถ้ากำไร 10 บาท กับ ขาดทุน 10 บาท ก็มีผลเท่ากัน แต่คนจะกลัวขาดทุน 10 บาทมากกว่ากลัวไม่ได้กำไร 10 บาท (แน่นอนบางคนอาจจะกลัวขาดทุนแค่ 5 บาท เมื่อเทียบกับโอกาสกำไร 15 บาท)

    2. Risk Aversion คือ ความเกลียดชังความเสี่ยง เจ้าสิ่งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากเจ้า Loss Aversion ซึ่งแน่นอน เมื่อคนเกิดความกลัวที่จะเสียเงิน ก็ต้องกลัวความเสี่ยงเป็นธรรมดา Risk Aversion เกิดขึ้นในภาวะที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน ก็จะพยายามลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน เป็นถาวะที่นักลงทุนเต็มใจที่จะยอมรับผลตอบแทนที่ไม่แน่นนอน หรือน้อยกว่าแต่ปลอดภัยกว่า ดีกว่าจะยอมเสี่ยงกับการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า แต่อาจจะต่ำกว่าที่คาดไว้ และมีความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง อาจนำเงินลงทุนไปฝากธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ยเงินฝากที่ให้ค่าตอบแทนต่ำแต่ ปลอดภัย แทนที่จะนำมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ เป็นต้น (ตัวอย่างที่เราเห็นได้ในปัจจุบันที่ตลาดถูกครอบงำด้วย Risk Aversion คือ ตลาดหุ้นตกกันทั่วโลก เพราะนักลงทุน แห่กันเทขายหนีความเสี่ยงออกจากตลาด)

    3. Sunk cost effect นั่นคือ ผลกระทบจากการยึดติดกับเงินที่ลงทุนไปแล้ว มากกว่าเงินที่จะต้องเสียในอนาคต และสุดท้ายก็ส่งผลกระทบกลับมาที่นักลงทุน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนักลงทุนดูกราฟ EUR/USD แล้วคาดว่ามันจะลง ก็เซลไว้ แต่ราคาก็ไม่ลดลง แต่กลับขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงแนวต้านอีกแนวนึงก็เซลเพิ่มไปอีกแทนที่จะตัดขาดทุนตั้งแต่ที่รู้ว่า ตัดสินใจผิดครั้งแรกยอมขาดทุนน้อยๆ แต่กลับยอมให้พอร์ตขาดทุนเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น เพราะ "เสียดาย" เงินที่ลงทุนไปแล้ว ไม่อยากเสียเงินทุนแม้จะรู้ว่าตนเองตัดสินใจผิดพลาด นักลงทุนที่อยู่ในภาวะนี้มักชอบ "หลอกตัวเอง" ว่า เดี๋ยวมันจะต้องเป็นไปตามที่ฉันคิดแน่ๆ และผลสุดท้ายความเสียหายก็มากขึ้น บางทีอาจเลวร้ายขนาด ล้างพอร์ตกันเลยก็เห็นอยู่บ่อยสำหรับตลาด Forex

    4. Disposition effect
    คือ ผลกระทบจากการจัดการของนักลงทุน ที่มักจะตัดสินใจปิดออเดอร์ซื้อขายเมื่อมีกำไรแล้ว แต่จะไม่ยอมปิดเมื่อยังขาดทุนอยู่ รู้ว่าถือไว้แล้วมันติดลบ แต่ก็ถือไปเรื่อยๆ (ฉันจะรอวันฟ้าเป็นใจ ได้กำไรแล้วค่อยปิด) นักลงทุนที่จะทำแบบนี้ได้ จะต้องอึดทั้งพอร์ตอึดทั้งคน ถ้าคุณไม่อึดพอไม่มีการวางแผนรองรับที่ดีก็จงอย่าทนถือออเดอร์ติดลบนานๆเลย จะดีกว่า

    5. Outcome bias หมายถึง อคติที่เรามีแนวโน้มที่จะตัดสินอะไรจากผลที่ออกมามากกว่า ตัดสินใจจากเหตุผลที่มีอยู่ เช่น เราเทรดตามการวิเคราะห์จากเหตุผลของราคาอาจจะทั้งทางเทคนิคอล หรือดูจากพื้นฐานด้วยก็ตาม การเทรดของเราก็ทำกำไรได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้มากมายเป็นก้อนใหญ่ วันหนึ่ง มี "พลายกระซิบ" มาบอกว่าคู่เงินนั้นจะเป็นแบบนี้นะ ให้ตาม เราทำตามและได้กำไรมหาศาล และเมื่อเราทำตามไปซัก 2-3 ครั้ง เราก็มีแนวโน้มที่จะเริ่มไม่เชื่อการวิเคราะห์ที่ถูกต้องของตนเอง แต่หันไปเล่นหุ้นพรายกระซิบแทน ผลที่ตามมาก็คือ ระเบียบวินัยการลงทุนของเราก็จะหายไป และเมื่อไหร่ พลายกระซิบนี้เริ่มทำงานไม่ดี เราก็จะไปตามหา พลายกระซิบใหม่ไปเรื่อยๆ

    6. Recency bias คือ คนเรามีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องที่เกิดขึ้นล่าสุด มากกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เช่น การขาดทุนที่เพิ่งเกิดวันนี้ ทำให้เราเจ็บปวดมากกว่าการขาดทุนที่เกิดขึ้นปีก่อน แม้ว่าความเสียหายจาการขาดทุนในวันนี้จะเทียบไม่ได้เลยกับเมื่อปีก่อนก็ตาม

    7. Anchoring อันนี้สำคัญทีเดียว คือ แนวโน้มที่บอกว่าเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อในข้อมูลที่มีอยู่ให้เห็นตรงหน้า มากกว่าข้อมูลที่เราไม่เห็น ซึ่งอาจทำให้เราประเมินภาพผิดไปจากความจริงมากมาย เพราะทำให้เราเชื่อมั่นเกินเหตุกับข้อมูลที่มีอยู่ (อาจจะแค่ 30% ก็ได้ แต่เราไม่รู้ว่ายังมีข้อมูลอีก 70% ที่อาจทำให้เราต้องไปคิดใหม่เลยทีเดียว) อย่าง เช่น การดูข่าวในตลาด Forex ทุกวันนี้  เมื่อเวลามีการประกาศตัวเลขดัชนีต่างๆ เราเห็นตัวเลขดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจออกมาดี ค่าเงินสกุลนั้นจากที่อ่อนแอ ก็พุ่งพรวดไปชั่วครู่ แล้วร่วงลงมาตามเดิม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า แม้ว่าดัชนีตัวนี้จะดีแต่ก็ยังคงเป็นแค่ส่วนเดียวของเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีตัวนี้ดี แต่ตัวอื่นๆส่วนใหญ่อาจจะย่ำแย่อยู่ก็ได้ ถ้าเศรษฐกิจจะดีจริง ดัชนีโดยรวมส่วนใหญ่ควรออกมามีความสอดคล้องกันไปในทิศทางที่ดีด้วย

    8. Bandwagon effect หมายถึง แนวโน้มที่เราจะคล้อยตามคนหมู่มาก ซึ่งอาจจะไม่ต้องถูกเสมอไป ดังนั้น การจะเชื่ออะไรก็ควรจะพิจารณาถึงเหตุผลด้วย ก่อนที่จะเชื่อตามคนอื่น เพราะการที่มีคนเชื่อแบบเดียวกันมากๆ ก็ใช่ว่าความคิดนั้นจะถูกเสมอไป

    9. Belief in the law of small numbers คือ การที่ผู้คนใช้ข้อสรุปผิดๆ จากจำนวนตัวอย่างที่น้อยเกินกว่าที่จะมาทำข้อสรุปได้จริงๆ เช่น ในการเทรดคู่เงิน EUR/USD ถ้าเพื่อนเราที่เป็นเทรดเดอร์ด้วยกัน 10 คน มี 7 คนที่ซื้อ และ 3 คนที่ขาย ถ้าคนที่เทรดคู่เงิน EUR/USD มีเพียงแค่เราและเพื่อน 10 คนก็คงง่ายที่จะสรุปได้ว่า ราคา EUR เทียบ USD ต้องขึ้นแน่นอน เพราะคนต้องการซื้อมากกว่าคนต้องการขาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในตลาดมีผู้คนมากมายมหาศาลที่ซื้อขายคู่เงินนี้ ดังนั้น อย่าด่วนสรุปอะไรจากคนรอบตัวเราเพียงไม่กี่คน


    ที่ นี้ลองทบทวนตัวเองดูว่าคุณเป็นนักลงทุนที่มีอคติแบบไหนอยู่บ้าง ควรจะแก้ไขตรงไหน ป้องกันอย่างไร เพื่อให้พอร์ตการลงทุนของคุณปลอดภัยจากอคติในใจของคุณเอง
     
     ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t475/?/

    Sunday, November 9, 2014

    พวกเราจะเปลี่ยนเงินจาก 100 $ เป็น 10000$ ภายใน 1 ปี ได้มั้ย

    ผมเคยทำแผนเทรดจากเงิน 5 เหรียญ เป็น 10240 เหรียญ โดยการบริหารเงิน Money Management แบบต่างๆ ดังรูปด้านล่างครับ


    จาก รูปด้านบน ทำได้ไม่ยากครับ และก็ไม่ง่าย ผมว่าทุกคนทำได้ครับ ไม่เกินความสามารถของเราหรอก แต่ที่ทำยากก็คือการควบคุมอารมณ์และระงับความโลภนี่แหระครับ คือปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ล้างพอร์ตก่อนถึงเป้าหมาย ความกดดันต่างๆนาๆ เป็นอุปสรรคต่อการพุ่งชนเป้าหมายครับ

    ที่ Colume สีฟ้า เป็นตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุด เทรดที่ 5-15 % ของทุน โดยเป้าหมายต่อวัน คือ 33-100 จุด

    แต่สำหรับผมคิดว่า Colume สีเหลือง ทำง่ายกว่า เก็บเพียง 16-25 จุดต่อวันเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ยากมากนัก

    เช่น เราลงทุนก้อนแรก 100 $ ถ้าเป็น Mini Account ของ Exness ก็ควรเทรดที่ 0.02-0.03 lot จุดละ 20-30 เซนต์
    แต่ถ้าเป็นบัญชี Micro Cent ของ Forex4you ก็เทรดที่ 2-3 lot จุดละ 20-30 เซนต์ เช่นกัน

    แต่ เราลองดูที่ Colume สุดท้ายสิครับ ลงทุน ครึ่งนึงของพอร์ตเลย เทรดทีละ 50 % วันละครั้งเท่านั้น เอาให้ได้ 10 จุด หรือกี่ครั้งก็ได้ แค่ทำให้ได้วันละ 10 จุดเท่านั้น ได้แล้วหยุด 1 ปี รวยแน่นอน  เช่น ทุน 100 $ ลง 0.05 lot จุดละ 50 เซนต์

    เราควรเพิ่มจำนวน Lot ทุกๆเดือน ถ้ามีกำไรนะครับ แต่ถ้ายังไม่มีกำไร ก็ต้องเทรดจำนวน Lot เท่าเดิมนั้นไปจนกว่าจะมีกำไร แล้วค่อยเพิ่มจำนวน Lot

    ดูเหมือนง่ายๆครับ แต่ทำยาก เก็บเพียงวันละ 10 จุด เทรดที่ 50 % ของพอร์ต
     

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/100-$-10000$-1/?/